วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

นิทานอีสป2

1.สุนัขผู้ซื่อสัตย์ 

   บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น ซื่อสัตย์มากในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน
คืนหนึ่ง มันไ้ด้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน
เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน
เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน
มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้



2.สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต 

   สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าเมื่อสิงโตเดินผ่านมา มันก็ตกใจ จนสิ้นสติเพราะไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน
เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก
เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า
"สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน" 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี



3.แพะกับลูกแกะและหมาป่า

   กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว เมื่อเจ้าหมาป่าเห็นลูกแกะยืนอยู่ข้างแม่แพะ มันจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ นี่เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นลูกแกะ เหตุใดถึงมาอยู่ในฝูงแพะดูเหมือนฝูงแกะกำลังหากินอยู่ใกล้ๆนี่เอง

ทำไมจึงไม่ไปหาแม่ที่แท้จริงของเจ้า”“ข้าไม่ไปหรอกลูกแกะตอบปฏิเสธ ถึงแม้นว่าแกะจะเป็นผู้ให้กำเนิดข้ามาก็จริง แต่แม่แพะตัวนี้เป็นผู้เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ท่านจึงน่าจะเป็นแม่ที่แท้จริงของข้ามากกว่า” 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ความกตัญญูย่อมเกิดขึ้น เพราะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ทนุถนอม อย่างแท้จริง



4.เเม่เหยี่ยวกับลูก

   เเม่เหยี่ยวเป็นทุกข์ใจนักที่เห็นลูกนกเหยี่ยวของตน นอนป่วยมาหลายวันเเล้ว
เมื่อลูกนกมีอาการทรุดหนักลงทุกวัน เเม่เหยี่ยวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ
ลูกนกจึงเอ่ยขึ้นว่า
"อย่ามัวร้องไห้เลย เเม่จ๋า เเม่ลองไปไหว้บนบาน เทพยดา ที่ศาลสิจ๊ัะ ท่านจะได้ช่วยชีวิตลูก ท่านจะได้ ช่วยให้ลูกหายเจ็บไข้"
เเม่เหยี่ยวฟังเเล้วก็ยิ่งร้องหนักขึ้นเเล้วว่า
"เเม่ก ็อยากทำเช่นนั้นจ่ะลูก เเต่เเม่ไปขโมยอาหาร ที่คนนำมาถวาย ท่านทุกๆวัน เเล้วเทพยดาจะช่วยเรา ทำไมล่ะ โธ่เอ๊ย! เเม่ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ไม่ควรไป ขโมยของท่านเลย" 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เมื่อสำนึกความผิดได้ บางครั้งก็สายเกินไป



5.พรานใหม่ผู้กล้าหาญ

พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง
เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว
วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า
"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"
คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง



6.อึ่งอ่างและวัว


   "นี่พ่อ" เจ้าอึ่งอ่างตัวน้อยพูด ลูกอึ่งอ่างตัวหนึ่งพอเห็นวัวเป็นครั้งแรกก็กลับมาคุยกับพ่อของมันว่า "ฉันไปเจอสัตว์ประหลาดน่ากลัวเข้าตัวหนึ่ง ร่างมันสูงใหญ่อย่างกับภูเขา มีเขาบนหัว หางยาว และกีบเท้าของมันแยกออกเป็นสองกีบ"
"เฮ้อ เด็กหนอเด็ก" อึ่งอ่างตัวพ่อเอ่ยตอบ "นั่นมันแค่วัวของชาวนาตระกูลไวท์เท่านั้น แล้วมันก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนั้นสักหน่อย สูงกว่าพ่อแค่นิดเดียว แล้วพ่อก็ทำตัวเองให้ใหญ่กว่านี้ได้สบายๆ เลย ดูสิลูก
ดังนั้นมันจึงพองตัวของมันให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอีก และใหญ่ขึ้นไปอีก "ใหญ่เท่านี้ใช่ใหม?" อึ่งอ่างตัวพ่อถาม "โอโห ใหญ่กว่านี้เยอะเลย" ลูกอึ่งอ่างตอบ พ่ออึ่งอ่างจึงพองตัวเองออกอีกครั้งหนึ่ง และถามลูกอึ่งอ่างว่า เจ้าวัวนั่นใหญ่เท่านี้ใช่หรือไม่
"ใหญ่กว่า พ่อ ใหญ่กว่านี้" ลูกอึ่งอ่างตอบ
ดังนั้นพ่ออึ่งอ่างจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพองตัวมากขึ้นและมากขึ้น ตัวของมันบวมเป่งขึ้นมาเรื่อยๆ เป่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็พูดว่า "พ่อแน่ใจว่าเจ้าวัวน่ะ มันไม่ใหญ่เท่า... " แต่แล้วในวินาทีนั้นเองตัวพ่ออึ่งอ่างก็ระเบิดออก 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "การหลอกตัวเองย่อมนำไปสู่การทำลายตนเอง



7.กากับนกยูง


   ขณะที่กา ตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นล้ำเข้าไปในสนามที่พวกนกยูงมักจะเดินมันก็ได้พบกับขนนกกลุ่มหนึ่งซึ่งร่วงหล่นมาจากเหล่านกยูงยามที่มันผลัดขน กาจึงผูกขนนกเหล่านั้นไว้ที่หางของตน และเดินวางท่าตรงไปยังฝูงนกยูง เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ ฝูงนกยูงก็พบว่าพวกมันถูกหลอก จึงเดินตรงเข้าไปหาเจ้ากา พร้อมกับจิก และถอนขนจอมปลอมของมันเสีย ดังนั้นเจ้ากาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเดินกลับไปยังฝูงของตนเอง ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของมันอยู่ห่างๆ พวกมันรู้สึกรำคาญเจ้านกตัวนี้เช่นกัน และกล่าวแก่มันว่า "ขนนกหรูเลิศอย่างเดียว ช่วยให้เป็นนกชั้นสูงไม่ได้" 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ความงามในจิตใจคือความงามที่แท้จริง



8.สุนัขรับเชิญ 

   สุนัขเฝ้าบ้านเศรษฐีเอ่ยชวนเพื่อนที่เป็นสุนัขจรจัดว่า
"ค่ำนี้ที่บ้านเจ้านายข้ามีงานเลี้ยง ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมงาน ด้วยนะ รับรองว่ามีอาหารดีๆ กินมากมายทั้งคืนเชียวล่ะ"
สุนัขจรจัดรับคำเชิญเเล้วก็รีบไปที่บ้านเศรษฐีตั้งเเต่หัวค่ำ
เเทนที่สุนัขจรจัดจะเข้าทางหน้าบ้าน มันกลับตรงไปที่ครัว หลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอาหารมากมายมันก็ดีใจกระดิกหางไปมา
พ่อครัวบังเอิญมาเห็นเข้าจึงคิดวาเป็นสุนัขที่จะมาขโมยกิน อาหารจึงจับตัวสุนัขจรจัดเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทันที
เมื่อสุนัขตัวอื่นๆ เห็นสุนัขจรจัดวิ่งพลางร้องโอดโอยเช่นนั้น จึงถามว่าไปงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง
สุนัขจรจัดจึงเเกล้งตอบเเก้เก้อว่าตนเมาไปหน่อยจึงเข้าบ้าน เศรษฐีไม่ถูก 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เเขกที่ดีควรเข้าทางประตูหน้าเสมอ



9.กวางป่ากับพวงองุ่น 

   กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ



10.สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม

   สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่ ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ
วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า
หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า
"
ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"
ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่


ขอบคุณข้อมูลจาก


นิทานอีสป1

1.นกกระเรียนกับหมาป่า 

นกกระเรียนเห็นหมาป่านอนดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดที่กลางป่า จึงเข้าเข้าไปถามไถ่อย่างเวทนาว่า
"เจ้าเป็นอะไรหรือ"
"ข้ากลืนชิ้นเนื้อเข้าไป กระดูกติดคอข้า ทำอย่างไรก็ไม่ออก"
หมาป่าบอกเเล้วก็ขอร้องให้นกกระเรียนช่วยตนด้วย เเล้วตน จะให้รางวัลอย่างงามเป็นการตอบเเทน
นกกระเรียนจึงยื่นคออันยาวเรียวของมันเข้าไปในปากหมาป่า เเละสามารถล้วงเอากระดูกออกมาได้สำเร็จ
เมื่อนกกระเรียนทวงถามถึงรางวัล หมาป่าก็คำรามว่า
"ข้าไม่งับคอเจ้าขาดตายก็ดีเเล้ว ยังจะมาเอาอะไรจากข้าอีก เล่า"
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนเลวมักไม่เห็นความดีของผู้อื่น





2.ชายพเนจรอกตัญญู 

ชายสองคนเดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ เมื่อพบไม้พุ่มหนึ่ง จึงชวนกันหยุดพักใต้ร่มเงาของพุ่มไม้
ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันที่เเดดร้อนจัด ชายคนหนึ่งเอนตัวลง นอน ใต้เงาไม้พลางเเหงนมองดูพุ่มไม้เเล้วกล่าวว่า
"ไม้พุ่มนี้ไม่มีผลให้เรากินเลยนะ"
อีกคนก็เอ่ยบ้างว่า
"จริงด้วย ไม้พุ่มนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ"
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนโง่เเละคนชั่วมักเป็นคนอกตัญญ



3.เด็กเลี้ยงเเกะ

วันหนึ่งเด็กเลี้ยงเเกะคิดหาเรื่องสนุกๆ เล่น จึงเเกล้งร้องตะโกน ขึ้นมาว่า
"ช่วยด้วย! หมาป่ามากินลูกเเกะเเล้ว ช่วยด้วยจ้า ! "
พวกชาวบ้านจึงพากันวิ่งมาช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่างๆ เเต่เมื่อมาถึงก็ไม่พบหมาป่าสักตัว
"มันวิ่งไปทางโน้นเเล้วล่ะ"
เด็กเลี้ยงเเกะโป้ปดเเล้วก็เเอบหัวเราะชอบใจภายหลัง
ต่อจากนั้นเด็กเลี้ยงเเกะก็เเกล้งหลอกให้ชาวบ้านวิ่งหน้าตื่น เช่นเดิมได้อีก ๒- ๓ ครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมาป่ามาไล่กินเเกะจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงเเกะ ตะโกนขอความช่วยเหลือจนคอเเหบ คอเเห้ง พวกชาวบ้านก็ไม่มาเพราะคิดว่าเด็กหลอก 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนที่มักโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครเชื่อ



4.ค้างคาวเลือกพวก 

ค้างคาวนั้นถือว่าตนก็มีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์ อื่นทั่วๆ ไป
ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ขอตัวไม่ เข้าข้างฝ่ายใดโดยทำตัวเป็นกลาง
เเต่เมื่อพวกของนกมีท่าทีว่าจะชนะ ค้างคาวก็ประกาศตัว ไปเข้ากับฝ่ายนก
ต่อมาพวกนกจะพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละ จากนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่นๆ
ต่อมานกต่อสู้จนใกล้จะได้ชัย ค้างคาวก็กลับมาอยู่ข้างฝ่ายพวก นกอีก
เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทำสัญญาสงบศึกเเละเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองต่างก็ขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย
ค้างคาวอับอายจึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ จะออกจากถ้ำไปหา อาหาร ในตอนกลางคืนเท่านั้น
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ผู้ที่ขาดความจริงใจ ไม่มีใครอยากคบหาด้วย



5.คางคกกับสุนัขจิ้งจอก 

คางคกคุยอวดสุนัขจิ้งจอกว่า
"เจ้ารู้ไหมว่า ข้าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ข้าเป็นหมอเทวดา มียาวิเศษมากมายหลายขนาน เจ้าเชื่อข้าเถอะนะ"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังก็หัวเราะเยาะเเล้วว่า
"ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้าหรอกนะ ถ้าเจ้ารักษาผิวหนัง ตะปุ่มตะป่ำ ของเจ้าให้หายดีได้เสียก่อน " 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ผู้อื่นย่อมเชื่อถือผลงาน มากกว่าคำโอ้อวด



6.คนหาปลากับพราน 

วันหนึ่งคนหาปลาเดินสวนกับนายพรานเเละเห็นว่านายพราน มีเนื้อสัตว์มากมายจึงถามว่า
"ท่านพรานป่า ข้าขอเอาปลาเเลกกับเนื้อสัตว์บ้างได้หรือไม่"
นายพรานเห็นคนหาปลามีปลาหลายตัวก็นึกอยากจะลองกิน เนื้อปลา
วันต่อๆ มาคนหาปลากับพรานก็นัดพบเพื่อเเลกเปลี่ยนอาหารกัน ทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่งคนหาปลาก็เอ่ยขึ้นว่า
"ท่านยังอยากจะเเลกเนื้อกับปลาอยู่หรือไม่"
นายพรานก็ตอบว่าตนเริ่มเบื่อปลาเเละอยากกินเนื้อดังเดิมเเล้ว
ทั้งสองจึงตกลงเลิกเเลกเปลี่ยนอาหารกันอีกต่อไป
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนเรามักอยากลิ้มลองของใหม่ เเต่ไม่นานก็ต้องเห็นค่าของ ของเก่า



7.คนตัดไม้กับสุนัขจิ้งจอก 

คนตัดไม้พาสุนัขจิ้งจอกเข้าไปซ่อนที่ข้างกระท่อม เมื่อถูกขอความช่วยเหลือ
พวกล่าสัตว์จูงหมาล่าเนื้อมาถึงก็ถามคนตัดไม้ว่าเห็น สุนัขจิ้งจอกหรือไม่
"ไม่เห็นเลยเพื่อนเอ๋ย"
คนตัดไม้ปฏิเสธเเต่ก็ชี้นิ้วไปทางข้างกระท่อม
พวกล่าสัตว์ไม่เข้าใจสัญญาณบอกใบ้นั้นจึงพากัน กลับไป
สุนัขจิ้งจอกรออยู่อีกสักครู่ก็ออกมาจากที่ซ่อนเเล้ววิ่ง ผ่านหน้าคนตัดไม้ไป คนตัดไม้จึงร้องขึ้นว่า
"ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เจ้าไม่ขอบคุณเข้าเลยหรือ"
"ลิ้นของเจ้าไม่ตรงเหมือนนิ้วของเจ้าเลยนะจะให ้ขอบใจได้อย่างไร"
สุนัขจิ้งจอกกล่าวเเล้วก็วิ่งเข้าป่าไป
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนไม่เชื่อ ย่อมไม่มีผู้ใดนับถือ



8.คนขี้เหนียวกับทองคำ 

ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดิน ไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทอง ไว้หลาย เเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่ง มาฝังไว้ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวัน
คนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วก็ขุด เอาทองเเท่งไปเสีย
ชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง
เพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า
"ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว"
 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ของมีค่า ถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า



9.ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นไก่ฟ้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สูงข้างทาง
มันอยากจะกินไก่ฟ้าเป็นยิ่งนักจึงคิดหาอุบายเเล้วเอ่ยขึ้นว่า
"ไก่ฟ้าเอ๋ย ท่านช่างเป็นสัตว์ที่งดงามนัก ปีกของท่านมีสีสัน สดใสหลายสี ปากก็งดงามไม่เหมือนใคร อยากรู้จังว่าถ้าท่าน หลับตา เเล้วยังจะงามอยู่หรือไม่"
ไก่ฟ้าได้ฟังคำยกยอก็หลงเคลิบเคลิ้ม รีบหลับตาอวดทันที
สุนัขจิ้งจอกก็รีบฉวยโอกาสนั้นกระโดดงับตัวไก่ฟ้าไว้ได้
เมื่อไก่ฟ้าพลาดท่า เเต่ก็ยังมีสติ จึงเอ่ยขึ้นว่า
"จิ้งจอกเอ๋ย ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงอันไพเราะของท่าน อีกครั้งได้ไหม"
สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำป้อยอก็หลงกล รีบอ้าปากเห่าคำราม ไก่ฟ้าจึงรีบบินหนีจากไปทันที 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คำยกยอปอปั้นทำให้คนหลงเคลิบเคลิ้มจนไม่ระวังตนได้เสมอ



10.กาบ้ายอ 

สุนัขจิ้งจอกเห็นกามีเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก จึงเอ่ยว่า
" เพื่อนกาเอ๋ย ตาของเพื่อนช่างงามราวกับตาเหยี่ยว ปีกก็เป็นเงางามดั่งปีกนกอินทรี ข้าอยากรู้นักว่าถ้า เพื่อนร้องเพลง เสียงของเพื่อนจะไพเราะเพราะ พริ้งเพียงใด "
กาได้ฟังคำป้อยอก็ชอบใจ รีบอ้าปากร้องเพลงอวด สุนัขจิ้งจอกทันใด
เมื่อกาอ้าปาก ชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่พื้น สุนัขจิ้งจอก ก็เข้าไปคาบ เนื้อเเล้ววิ่งจากไปทันที 


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนที่มาเฝ้ายกยอปอปั้น ย่อมหวังได้ประโยชน์จากเรา


ขอบคุณข้อมูลจาก