บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงสุนัขเอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น
ซื่อสัตย์มากในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ
หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน
คืนหนึ่ง มันไ้ด้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน
เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน
เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน
มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้
คืนหนึ่ง มันไ้ด้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน
เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน
เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน
มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าเมื่อสิงโตเดินผ่านมา
มันก็ตกใจ จนสิ้นสติเพราะไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน
เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก
เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า
"สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี
เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก
เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า
"สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี
3.แพะกับลูกแกะและหมาป่า
ทำไมจึงไม่ไปหาแม่ที่แท้จริงของเจ้า”“ข้าไม่ไปหรอก” ลูกแกะตอบปฏิเสธ “ถึงแม้นว่าแกะจะเป็นผู้ให้กำเนิดข้ามาก็จริง แต่แม่แพะตัวนี้เป็นผู้เลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ท่านจึงน่าจะเป็นแม่ที่แท้จริงของข้ามากกว่า”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ความกตัญญูย่อมเกิดขึ้น เพราะได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่ทนุถนอม อย่างแท้จริง
4.เเม่เหยี่ยวกับลูก
เเม่เหยี่ยวเป็นทุกข์ใจนักที่เห็นลูกนกเหยี่ยวของตน
นอนป่วยมาหลายวันเเล้ว
เมื่อลูกนกมีอาการทรุดหนักลงทุกวัน เเม่เหยี่ยวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ
ลูกนกจึงเอ่ยขึ้นว่า
"อย่ามัวร้องไห้เลย เเม่จ๋า เเม่ลองไปไหว้บนบาน เทพยดา ที่ศาลสิจ๊ัะ ท่านจะได้ช่วยชีวิตลูก ท่านจะได้ ช่วยให้ลูกหายเจ็บไข้"
เเม่เหยี่ยวฟังเเล้วก็ยิ่งร้องหนักขึ้นเเล้วว่า
"เเม่ก ็อยากทำเช่นนั้นจ่ะลูก เเต่เเม่ไปขโมยอาหาร ที่คนนำมาถวาย ท่านทุกๆวัน เเล้วเทพยดาจะช่วยเรา ทำไมล่ะ โธ่เอ๊ย! เเม่ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ไม่ควรไป ขโมยของท่านเลย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เมื่อสำนึกความผิดได้ บางครั้งก็สายเกินไป
เมื่อลูกนกมีอาการทรุดหนักลงทุกวัน เเม่เหยี่ยวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ
ลูกนกจึงเอ่ยขึ้นว่า
"อย่ามัวร้องไห้เลย เเม่จ๋า เเม่ลองไปไหว้บนบาน เทพยดา ที่ศาลสิจ๊ัะ ท่านจะได้ช่วยชีวิตลูก ท่านจะได้ ช่วยให้ลูกหายเจ็บไข้"
เเม่เหยี่ยวฟังเเล้วก็ยิ่งร้องหนักขึ้นเเล้วว่า
"เเม่ก ็อยากทำเช่นนั้นจ่ะลูก เเต่เเม่ไปขโมยอาหาร ที่คนนำมาถวาย ท่านทุกๆวัน เเล้วเทพยดาจะช่วยเรา ทำไมล่ะ โธ่เอ๊ย! เเม่ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย ไม่ควรไป ขโมยของท่านเลย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เมื่อสำนึกความผิดได้ บางครั้งก็สายเกินไป
5.พรานใหม่ผู้กล้าหาญ
พรานใหม่คนหนึ่งมักจะเข้าไปถามพวกคนตัดไม้ว่าเห็นหมูป่า
บ้างไหม บริเวณใดมีกวางมีเนื้อบ้าง
เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว
วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า
"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"
คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต
เเต่พวกคนตัดไม้ก็ยังไม่เคยเห็นพรานใหม่ผู้นี้ล่าสัตว์ใดได้สักตัว
วันหนึ่งพรานใหม่เข้าป่ามาเเต่เช้าพลางถามคนตัดไม้ว่า
"พี่ชาย เห็นรอยเท้าสิงโตที่ไหนบ้าง ช่วยบอกด้วยเถิด"
คนตัดไม้ก็บอกว่าเห็นอยู่ไม่ไกลนัก ตนยินดีจะพาไปล่าถึง หน้าปากถ้ำสิงโตเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรานใหม่ก็ถึงกับส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าตนเพียงอยากเห็นรอยเท้าสิงโตเท่านั้น มิได้อยากล่าสิงโต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ผู้ที่ขี้ขลาด มักเเสดงว่ากล้าหาญเมื่อภัยยังไม่มาถึง
6.อึ่งอ่างและวัว
"นี่พ่อ" เจ้าอึ่งอ่างตัวน้อยพูด
ลูกอึ่งอ่างตัวหนึ่งพอเห็นวัวเป็นครั้งแรกก็กลับมาคุยกับพ่อของมันว่า
"ฉันไปเจอสัตว์ประหลาดน่ากลัวเข้าตัวหนึ่ง ร่างมันสูงใหญ่อย่างกับภูเขา
มีเขาบนหัว หางยาว และกีบเท้าของมันแยกออกเป็นสองกีบ"
"เฮ้อ เด็กหนอเด็ก" อึ่งอ่างตัวพ่อเอ่ยตอบ "นั่นมันแค่วัวของชาวนาตระกูลไวท์เท่านั้น แล้วมันก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนั้นสักหน่อย สูงกว่าพ่อแค่นิดเดียว แล้วพ่อก็ทำตัวเองให้ใหญ่กว่านี้ได้สบายๆ เลย ดูสิลูก
ดังนั้นมันจึงพองตัวของมันให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอีก และใหญ่ขึ้นไปอีก "ใหญ่เท่านี้ใช่ใหม?" อึ่งอ่างตัวพ่อถาม "โอโห ใหญ่กว่านี้เยอะเลย" ลูกอึ่งอ่างตอบ พ่ออึ่งอ่างจึงพองตัวเองออกอีกครั้งหนึ่ง และถามลูกอึ่งอ่างว่า เจ้าวัวนั่นใหญ่เท่านี้ใช่หรือไม่
"ใหญ่กว่า พ่อ ใหญ่กว่านี้" ลูกอึ่งอ่างตอบ
ดังนั้นพ่ออึ่งอ่างจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพองตัวมากขึ้นและมากขึ้น ตัวของมันบวมเป่งขึ้นมาเรื่อยๆ เป่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็พูดว่า "พ่อแน่ใจว่าเจ้าวัวน่ะ มันไม่ใหญ่เท่า... " แต่แล้วในวินาทีนั้นเองตัวพ่ออึ่งอ่างก็ระเบิดออก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "การหลอกตัวเองย่อมนำไปสู่การทำลายตนเอง
"เฮ้อ เด็กหนอเด็ก" อึ่งอ่างตัวพ่อเอ่ยตอบ "นั่นมันแค่วัวของชาวนาตระกูลไวท์เท่านั้น แล้วมันก็ไม่ได้ตัวโตขนาดนั้นสักหน่อย สูงกว่าพ่อแค่นิดเดียว แล้วพ่อก็ทำตัวเองให้ใหญ่กว่านี้ได้สบายๆ เลย ดูสิลูก
ดังนั้นมันจึงพองตัวของมันให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอีก และใหญ่ขึ้นไปอีก "ใหญ่เท่านี้ใช่ใหม?" อึ่งอ่างตัวพ่อถาม "โอโห ใหญ่กว่านี้เยอะเลย" ลูกอึ่งอ่างตอบ พ่ออึ่งอ่างจึงพองตัวเองออกอีกครั้งหนึ่ง และถามลูกอึ่งอ่างว่า เจ้าวัวนั่นใหญ่เท่านี้ใช่หรือไม่
"ใหญ่กว่า พ่อ ใหญ่กว่านี้" ลูกอึ่งอ่างตอบ
ดังนั้นพ่ออึ่งอ่างจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพองตัวมากขึ้นและมากขึ้น ตัวของมันบวมเป่งขึ้นมาเรื่อยๆ เป่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็พูดว่า "พ่อแน่ใจว่าเจ้าวัวน่ะ มันไม่ใหญ่เท่า... " แต่แล้วในวินาทีนั้นเองตัวพ่ออึ่งอ่างก็ระเบิดออก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "การหลอกตัวเองย่อมนำไปสู่การทำลายตนเอง
7.กากับนกยูง
ขณะที่กา ตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นล้ำเข้าไปในสนามที่พวกนกยูงมักจะเดินมันก็ได้พบกับขนนกกลุ่มหนึ่งซึ่งร่วงหล่นมาจากเหล่านกยูงยามที่มันผลัดขน
กาจึงผูกขนนกเหล่านั้นไว้ที่หางของตน และเดินวางท่าตรงไปยังฝูงนกยูง
เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้ ฝูงนกยูงก็พบว่าพวกมันถูกหลอก จึงเดินตรงเข้าไปหาเจ้ากา
พร้อมกับจิก และถอนขนจอมปลอมของมันเสีย
ดังนั้นเจ้ากาจึงไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเดินกลับไปยังฝูงของตนเอง
ที่เฝ้าดูพฤติกรรมของมันอยู่ห่างๆ พวกมันรู้สึกรำคาญเจ้านกตัวนี้เช่นกัน
และกล่าวแก่มันว่า "ขนนกหรูเลิศอย่างเดียว ช่วยให้เป็นนกชั้นสูงไม่ได้"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"ความงามในจิตใจคือความงามที่แท้จริง
8.สุนัขรับเชิญ
สุนัขเฝ้าบ้านเศรษฐีเอ่ยชวนเพื่อนที่เป็นสุนัขจรจัดว่า
"ค่ำนี้ที่บ้านเจ้านายข้ามีงานเลี้ยง ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมงาน ด้วยนะ รับรองว่ามีอาหารดีๆ กินมากมายทั้งคืนเชียวล่ะ"
สุนัขจรจัดรับคำเชิญเเล้วก็รีบไปที่บ้านเศรษฐีตั้งเเต่หัวค่ำ
เเทนที่สุนัขจรจัดจะเข้าทางหน้าบ้าน มันกลับตรงไปที่ครัว หลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอาหารมากมายมันก็ดีใจกระดิกหางไปมา
พ่อครัวบังเอิญมาเห็นเข้าจึงคิดวาเป็นสุนัขที่จะมาขโมยกิน อาหารจึงจับตัวสุนัขจรจัดเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทันที
เมื่อสุนัขตัวอื่นๆ เห็นสุนัขจรจัดวิ่งพลางร้องโอดโอยเช่นนั้น จึงถามว่าไปงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง
สุนัขจรจัดจึงเเกล้งตอบเเก้เก้อว่าตนเมาไปหน่อยจึงเข้าบ้าน เศรษฐีไม่ถูก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เเขกที่ดีควรเข้าทางประตูหน้าเสมอ
"ค่ำนี้ที่บ้านเจ้านายข้ามีงานเลี้ยง ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมงาน ด้วยนะ รับรองว่ามีอาหารดีๆ กินมากมายทั้งคืนเชียวล่ะ"
สุนัขจรจัดรับคำเชิญเเล้วก็รีบไปที่บ้านเศรษฐีตั้งเเต่หัวค่ำ
เเทนที่สุนัขจรจัดจะเข้าทางหน้าบ้าน มันกลับตรงไปที่ครัว หลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอาหารมากมายมันก็ดีใจกระดิกหางไปมา
พ่อครัวบังเอิญมาเห็นเข้าจึงคิดวาเป็นสุนัขที่จะมาขโมยกิน อาหารจึงจับตัวสุนัขจรจัดเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทันที
เมื่อสุนัขตัวอื่นๆ เห็นสุนัขจรจัดวิ่งพลางร้องโอดโอยเช่นนั้น จึงถามว่าไปงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง
สุนัขจรจัดจึงเเกล้งตอบเเก้เก้อว่าตนเมาไปหน่อยจึงเข้าบ้าน เศรษฐีไม่ถูก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เเขกที่ดีควรเข้าทางประตูหน้าเสมอ
9.กวางป่ากับพวงองุ่น
กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ
" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "
กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ
เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง
กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย
" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "
ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า
" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ
10.สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม
สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่
ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ
วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า
หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า
"ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"
ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่
วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า
หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า
"ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"
ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก